วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พักขาเมื่อยๆกับ TWG Tea Salon and Boutique สาขาพารากอน


สวัสดีค่ะ สำหรับวันว่าวันนี้ Dine With Me จะพามาชม Afternoon Tea ของร้าน TWG สาขา Paragon กันนะคะ จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจจะไปทานหรอกค่ะเพราะตอนบ่ายแก่ก็ต้องใจจะไปลอง Lavender Tea Set ของโอกุระ เพรสทีจอยู่แล้ว แต่พยายามหาร้านนั่งพักที่มีปลั๊ํกให้ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานอยู่นานมาก เดินจนขาลาก แต่คนเต็มเกือบร้าน เลยหมดความพยายาม มาจบลงที่การนั่งพักที่ TWG แทน



ร้าน TWG Tea Salon and Boutique ตั้งอยู่กลางลานชั้น M ของห้างพารากอน ตกแต่งร้านเปิดโล่งด้วยโลหะสีทอง




ด้านหน้าเป็นลานวางสินค้าต่างๆ เช่น ชาหลากกลิ่นและมาการองรสต่างๆ ลึกเข้าไปถึงจะเป็นลานนั่งจิบชา พนักงานที่นี่ได้รับการฝึกมาอย่างดี มารยาทดีมากๆค่ะ ยิ้มแย้ม พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว





Tea Set ที่สั่งมา คือ Delight Set Menu ที่มีบริการตั้งแต่เวลา 10:00 - 21:00 น.  ราคา 790 ++ บาท เลือกชาได้ 1 จาก 2 ตัวเลือก สามารถเปลี่ยนชาได้ในราคา 250 บาทค่ะ




ชาที่สั่งมาเป็นแบบเย็น ชื่อว่า Weekend in Shanghai Tea เป็นชาเขียวผสมกลิ่นเบอรี่หลากชนิด ดอกไม้และมินต์ ที่สั่งชาเย็นเพราะเดินมาไกลมากกกก ร้อนค่ะ ดื่มชาร้อนไม่ไหว


คานาเป้ 3 อย่างเป็นขนมอบที่ผสมชาลงไปด้วย (อร่อยลืมมมมาก) คือ พัฟไส้กรอกไก่ผสม 1837 White Tea พายกุ้งชีสกรูแยร์ผสมชา Silver Moon และพายแฮมไก่งวง ชีสกรูแยร์ผสมชา Crystal Water Tea


ส่วน Petits Fours 6 อย่าง (มาถึงตอนนี้เริ่มสังเกตเห็นว่า ทุกอย่างผสมชาหมดเลย ตาค้างยันเที่ยงคืนมั้ยเนี่ย 555 ไม่หรอกค่ะ ชาอ่อนๆ) คือ สโกนกับแยมชาและวิปครีมค่ะ ...ในเมนูเขียนว่าวิปครีมจริงๆ ไม่เสิร์ฟ Clotted Cream


พานนาคอตตามะม่วง, Red Chocolate Tea Infused Tart, มาการอง ซึ่งเป็น Bain de Roses Tea infused อีกเช่นกัน, ทาร์ตไวท์ช็อกโกแลตกับเลม่อนผสมชา Lemon Bush และ Chocolate Tart infused with 1837 Black Tea ค่ะ







นอกจากนี้ก็ยังมีขนมน่ารักๆในตู้อีกนะคะ ว่างๆก็ไปลองกันได้นะคะ บรรยากาศดี เหมาะกับการนั่งจิบชาปรึกษาปัญหาหัวใจกับเพื่อนสาวมากๆ 555



พบกันคราวหน้าค่ะ 


Strawberry Fresh Cream Cake with Fresh Stawberries and Crushed Pistachios.



              สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ Dine With Me ขอนำเสนอการนำเค้กเนื้อสปันจ์ง่ายๆมาต่อยอดและแต่งตัวใหม่เป็นของหวานอีกเมนู นั่นคือ Strawberry Fresh Cream Cake
              DWM ทดลองใช้สูตรเค้กสปันจ์ที่ได้มาใหม่จากน้องเชฟเต้ ซึ่งมอบให้สมาชิกในกลุ่มเบเกอรี่ที่รัก ซึ่งไม่สามารถนำมาเผยแพร่นอกกลุ่มได้ แต่ผู้อ่านสามารถใช้สูตรเค้กสปันจ์ที่มีในอินเตอร์เน็ตก็ได้ค่ะ(สูตรเค้กสปันจ์ในตำนานก็ใช้ได้ค่ะ) จากนั้นจึงทำครีมแชนทิลลีแล้วตกแต่งด้วยสตรอว์เบอรี่สดและถั่วพิสตาชิโอบด
               แทนที่จะอบเค้กด้วยพิมพ์กลม ให้เปลี่ยนเป็นพิมพ์สี่เหลี่ยม จากนั้นจึงนำที่ตัดคุกกีทรงกลมขนาดใหญ่มาตัดเนื้อเค้ก ทำครีมแชนทิลลีและหั่นสตรอว์เบอรีสดรอไว้เลย จากนั้นจึงนำทุกอย่างมาประอบกันเป็นเค้กในพิมพ์วง เริ่มด้วยวางเนื้อเค้ก เรียงสตรอว์เบอรีแนบขอบพิมพ์วงด้านใน บีบครีม ประกบเนื้อเค้กลงด้านบน แล้วปาดครีมอีกรอบ ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอรี่และถั่วพิสตาชิโอบด เท่านี้เองค่ะ หากใครอยากเพิ่มความหวานและความหอม ก็สามารถทำน้ำเชื่อมเหล้าลิเคียวร์ เช่น Kirsch หรือ Grand Manier มาทาเนื้อเค้กได้ ด้วยน้ำร้อน น้ำตาลและเหล้าหวานค่ะ

              Hello, my lovely readers. There's nothing I love more than a simple basic cake recipe with a total makeover. In this menu, I used a simple sponge cake recipe and gave it a new look by combining it with Cream Chantilly recipe, fresh strawberries and crushed pistachios.
              It was my first time to use a round cutting mould to cut circles out of a sheet sponge cake. I wish it could be a little bit higher but this height also worked well with my round mould when compiling this dessert components. It was also my first time to do round cakes so they came out a little crooked and not at all neat. LOL. But I did accomplished according to the desighed I had in mind. So mission complete.
Each compomnent from this cake came from differentrecipe that I like for compiling. Here's the list.

Sponge Cake recipe that I absolutly love is from Martha Stewart's website from Jessica Aaronson. http://www.marthastewart.com/978785/sponge-cake

Sponge Cake (Yeild: two 12-by-17-inch cake.)
If this is too much for you, you cake devide this recipe to your liking)

Ingredients

1/2 stick unsalted butter, melted and cooled, plus more for pans
1 1/2 cups cake flour, plus more for pans           
9 large eggs, room temperature, separated           
1 1/2 cups granulated sugar, divided           
1 teaspoon pure vanilla extract           
Pinch of coarse salt     

Directions
  1. Preheat oven to 350 degrees. Butter two 9-inch round cake pans or two 12-by-17-inch rimmed baking sheets. Line bottoms with parchment; butter parchment and flour pans, tapping out excess flour. Whisk together egg yolks and 1 cup granulated sugar in a bowl set over a saucepan of simmering water until sugar has dissolved and mixture is warm, 3 to 4 minutes. Remove from heat and beat with a mixer on medium-high speed until pale and thick enough to form a ribbon that dissolves onto itself, 3 to 5 minutes. Beat in vanilla and salt; transfer to a large bowl.
  2. Beat egg whites until soft peaks form. Gradually add remaining 1/2 cup granulated sugar and beat on medium-high speed until stiff, glossy peaks form, about 2 minutes. Fold one third of egg whites into yolks, then gently fold in remaining whites. Sift flour over top and gently start to fold in. When nearly all is folded in, pour melted butter down side of bowl and fold just until incorporated and smooth.
  3. Divide batter among pans and bake until a toothpick inserted in centers comes out clean, about 25 minutes for rounds, or 15 minutes for sheets, rotating and switching racks halfway through. If baking in round pans, immediately invert cake and remove parchment, then reinvert and cool right side up. If using baking sheets and making a rolled cake, immediately invert cake onto a kitchen towel dusted with confectioner's sugar. Dust top of cake with confectioner's sugar and roll up in towel. Let cool completely, about 1 hour, before unrolling and spreading with filling.
            
Cream Chantilly
(http://www.marthastewart.com/339040/chantilly-cream)

Ingredients
1 cup heavy cream
1/2 teaspoon vanilla extract           
1 tablespoon granulated sugar
 
Directions
Put cream, vanilla, and sugar in the bowl of an electric mixer fitted with the whisk attachment and beat until soft peaks begin to form. Cover and refrigerate until serving.
 
สูตรครีมแชนทิลลี
วิปครีมสด 1 ถ้วย
วนิลาสกัด 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
 
ใส่ทุกอย่างลงไปในเครื่องผสม ใช้หัวตะกร้อตีด้วยความเร็วสูงจนตั้งยอดอ่อน ปิดด้วยพลาสติกแล้วนำเข้าตู้เย็นจนกว่าจะนำเค้กมาประกอบร่างค่ะ (เปลี่ยนเป็นน้ำตาลไอซิ่งแล้วปรับความหวานตามชอบก็ได้ค่ะพ)
 
Grand Manier Syrup
 
Ingredient
2 tablespoons sugar
2 tablespoons water
1 tablespoon Grand Marnier
 
Directions
In a small saucepan, heat the sugar and water, stirring, until dissolved. Add the Grand Marnier and let cool, then refrigerate for up to 1 week.
 
น้ำเชื่อมกรองมานิเยร์
 
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
เหล้ากรองมานิเยร์ 1 ช้อนโต๊ะ
 
นำน้ำตาลและน้ำผสมกับในชอมเซรามิก เข้าอุ่นในไมโครเวฟประมาณ 10 วินาที นำออกมาคนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นจึงใส่เหล้าลงไป ทิ้งไว้ให้เย็น เก็บไว้ในตู้เย็นได้ 1 สัปดาห์ นำแปรงมาจุ่มและแตะน้ำเชื่อมบนเนื้อเค้กจนชุ่มเล็กน้อยแต่อย่าให้แหยะ
 

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เล็มเครปรอ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ



หากใครมีโอกาสเดินทางภายในหรือระหว่างประเทศจากสนามบินสุวรรณภูมิ 
หรือแม้แต่ไปรอรับเพื่อน แฟนหรือคนในครอบครัว ก็แวะไปชิมเครปกันได้ที่ร้าน Bluecup Coffee 
ร้านในเครือ S&P ที่หลายๆคนคุ้นเคยค่ะ 
ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 ผู้ที่ไม่ได้เดินทางเองก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้ 


ภายในร้านมีปลั๊กบริการอยู่หลายจุด ฉะนั้นใครที่ต้องไปรอนานๆ เสียปลั๊กคอมดูหนังรอกันได้เลยค่ะ 
 ที่นั่งมีไม่มากไม่น้อย พอดีกับขนาดร้าน การตกแต่งเน้นสไตล์น่ารักด้วยเมนูรูปวาดเหนือหัวบาริสต้า
และรูปวาดตามฝาผนัง 



ร้านนี้มีทั้ง All-Day Breakfast และเครปคาวหวานค่ะ 


หน้าตาของจริงเหมือนหลุดออกมาจากรูปบนผนังเลย 555


กาแฟของที่นี่รสชาติมาตรฐานค่ะ จัดว่าขม...แต่ไม่มาก ไม่เปรี้ยว 
แจ้งได้ว่าเอาหวานมากหวานน้อยหรือไม่ใส่น้ำเชื่อมเลย 


เครปที่นี่เป็นเครปแบบกรอบนะคะ รสชาติไม่ได้เข้มข้นมาก คือรสกลางๆ ทานง่ายๆ ตามสไตล์ S&P 
ไม่หวือหวามากเนาะ ผลไม้สดมากค่ะ แต่จุดที่ DWM งอนคือคิทแคทที่เอามาหักโรยในเครป มันทำให้มูลค่าดูดร็อปลงไปมาก อย่าเข้าใจผิดนะคะ DWM ชอบคิทแคทมาก 
แต่เมื่อเรารู้ยี่ห้อและราคาโดยประมาณของส่วนประกอบที่ใช้ 
มันทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่สัมพันธ์กับราคาที่ตั้งไว้ 
แต่เรื่องหน้าตานี่ให้ 8 เต็ม 10 เลย เพราะน่ารักทีเดียว ไอศกรีมวนิลลาก็รสชาติเข้มข้นดีค่ะ 

พนักงานที่เจอบริการยิ้มแย้มดีค่ะ พูดจามีหางเสียงกับลูกค้า แต่พอลูกค้านั่งโต๊ะ พนักงานคุยกันเองเสียงดังไปนิดนึง ลูกค้าอาจรู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัวมาก แต่ถ้าใครใส่หูฟังมิใยโลกก็ไม่มีผลค่ะ 555  


คาปูชิโน่ปั่น 1 แก้ว ลาเต้เย็น 1 แก้ว 
ช็อกโกแล็ตเครป สตรอว์เบอรี่ บานาน่า 1 ที่ 

ราคารวมภาษีแล้วคือ 455 บาทค่ะ 

ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ ^ ^

Lavender Afternoon Tea & Rooftop Drinks with Gentle Breeze



วันนี้ DWM ได้มีโอกาสมาลองจิบชายามบ่ายกับสามีและเพื่อนสาวที่โรงแรมสังกัดแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง The Okura Prestige (โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ) ที่ถนนวิทยุ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่ลึกลับซับซ้อนหรือหายากอะไรเลย แต่ที่อาจจะทำให้งงกันคือล็อบบี้ของโรงแรมตั้งอยู่ชั้น 24 ของอาคาร ปาร์คเวนเชอร์อีโคเพล็กซ์ (Park Ventures Ecoplex) เขาบอกว่าห้องของโรงแรมทั้ง 240 ห้องรวมทั้งห้องสวีทมองเห็นวิวกรุงเทพฯได้ทุกห้อง ช่วงราคาค่าห้องพักของโรงแรมนี้อยู่ที่คืนละ 6,000 -107,000 บาท (เจี๊ยกกก) นั่นคือราคาของเดือนกรกฎาคม ปี 2558 นะคะ ห้องที่แพงที่สุดคือ Imperial Suites ซึ่งราคาแตะแสนนี้ยังไม่รวมภาษีและ Service Charge หลังรวมแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท ...สวัสดีค่ะ T^T



เอาเป็นว่าเรามาแฮงเอาต์กันอยู่แค่ล็อบบี้กันก่อนดีกว่าเนอะ ...ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ร้านจัด Afternoon Tea ที่เรามาลองชิมกันในวันนี้คือร้าน Up & Above Restaurant and Bar โดยจะมีบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 14:00-17:00 น. ในราคา 960++ บาทต่อหนึ่งชุด สำหรับ Lavender Set จะมีบริการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.- 31 ส.ค. 2558 DWM จองไว้ที่เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงบ่ายแก่ๆเลย เรานั่งจิบชาคุยกันไปเพลินๆ แล้วออกไปจิบไวน์ต่อที่โซฟากว้างๆที่ระเบียงรับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก

ล็อบบี้ของโรงแรมและที่นั่งบริเวณ Up and Above ที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนสีเข้มทำให้ได้บรรยากาศหรูหราน่านั่ง เทคโนโลยีทันสมัยในห้องน้ำ ความสะอาดและความงดงามก็คงต้องยกนิ้วให้เพราะสวยจริงๆค่ะ   


ช่วงบ่ายวันนี้อากาศอบอ้าวเล็กน้อย DWM รู้สึกโชคดีเล็กๆที่จองโต๊ะจิบชาไว้สำหรับ 4 ท่าน โต๊ะริมกระจกที่สามารถเห็นวิวด้านนอกเป็นโต๊ะสำหรับ 2 ท่าน แต่แสงแดดที่ส่องผ่านกระจกเข้ามานั้นร้อนเกินไป ทางโรงแรมจึงต้องลดระดับม่านลงมา ไม่เห็นวิวด้านนอกอยู่ดี  โต๊ะที่เราจองไว้ตั้งอยู่กลางโถง ...ไม่อยากเรียกว่าร้านเลยค่ะ เพราะทางโรงแรมแค่จัดพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับจิบชายามบ่ายและนั่งจิบไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยามค่ำคืน ไม่ได้มีกำแพงหรือป้ายชื่อร้านอะไรจริงจัง



ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเอ็นจอยกับ Afternoon Tea ในวันนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทยค่ะ ถ้าจะมารับประทานอาหารหรือใช้บริการที่นี่ อาจต้องลับคมภาษาอังกฤษกันสักหน่อย เพราะเมนูเป็นภาษาอังกฤษและพนักงานโรงแรมคนแรกที่ DWM เจอก็พ่นภาษาอังกฤษใส่ทันทีที่เจอหน้ากัน ภาษาแรกที่พนักงานใช้ทักทายหรือพูดคุยกับเราก็ไม่ใช่ภาษาไทยค่ะ ไม่มีการทึกทักก่อนว่าลูกค้าเป็นคนไทย ภาษาอังกฤษพุ่งนำหน้ามาเลย


DWM สั่งชุดยามบ่ายมา 2 ชุด ใน 1 ชุดจะมีชามาให้ 2 กา ชุดแรกคือ Okura Delight เป็นชุดมาตรฐานที่มีบริการตลอด เป็นขนมหวานอาหารคาวจุบจิบสไตล์ญี่ปุ่นที่จัดเสิร์ฟมาในกล่องไม้ ขนมและอาหารมีอะไรบ้างก็ตามรูปเลย ค่ะ กิมมิกน่ารักสุดๆคือมาการองที่วาดรูปต้นไผ่ไว้บนเปลือก รสชาติทุกอย่างก็อร่อยตามสไตล์ญี่ปุ่น แต่สำหรับ DWM ยังถือว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่








ชุดที่ 2 คือไฮไลต์ที่ล่อลวง เอ๊ย...เชื้อเชิญให้เรามาลิ้มลองนั่นคือ Lavender Set ซึ่งขนมหวานต่างๆจะมีรสหรือกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ อย่างที่บอกไปข้างต้น เซ็ตนี้จะมีบริการแค่ช่วง 1 ก.ค.- 31 ส.ค. 2558 เป็นช่วงฤดูลาเวนเดอร์ของญี่ปุ่นค่ะ แน่นอนว่ามาการองของชุดนี้มีรูปดอกลาเวนเดอร์อยู่บนเปลือกที่งดงามมากๆ เราสั่งมาอย่างละชุด เท่ากับมีชาทั้งหมด 4 กา ชาที่เราเลือกสำหรับทั้ง 4 กาเป็นชาลาเวนเดอร์ทั้งหมด แต่ก็มีชาอื่นๆให้เลือกด้วยนะคะ ...ที่น่าผิดหวังสำหรับ DWM คือเปลือกมาการองค่อนข้างแข็งกรอบจนแตกร่วน ไม่มีความชุ่มหนึบอย่างที่ควรจะเป็น เรื่องหน้าตาสวยกินขาดค่ะ แต่รสชาติสำหรับ DWM ยังไม่ผ่านนะคะ












Clotted Cream กับแยมรสต่างๆ กระซิบนิดนึงว่า Bitter Orange นี่ขมสมชื่อจริงๆค่ะ แต้มแต่น้อยนะคะ


ด้านบริการ ถือว่ายังไม่โดนใจ DWM แบบเต็มๆ แต่ก็สุภาพดี แม้จะไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าที่ควร บริการแบบ “ถามมาตอบไป”...ก็ไม่มีอะไรให้ติ แต่ก็ยังไม่มีอะไรให้ออกปากชม อาจเป็นเพราะ DWM คาดหวังสูงกับโรงแรมระดับห้าดาวแถมยังเป็นโรงแรมในเครือของญี่ปุ่นซึ่งงานบริการที่บอกเลยว่าต้องเป๊ะล่ะมั้งคะ แต่ความสะอาดของบริเวณร้านนี่ต้องยกนิ้วค่ะ เพราะข้าวของเครื่องใช้ยังดูใหม่ สะอาดสะอ้านดี ไม่บอบช้ำมากเหมือนบางโรงแรมที่เก่าเหลือเกิน


หลังจิบชาเสร็จ เราก็ไปนั่งชิลล์ต่อกันที่โซฟาด้านนอกของ Rooftop ลมร้อนยามบ่ายกลายเป็นลมโกรกเย็นสบายในยามค่ำคืน หากต้องการนั่งโซฟาด้านนอก คงต้องโทรมาจองกันก่อนเพราะมีอยู่ไม่กี่ตัว บริเวณระเบียงจะได้บรรยากาศปาร์ตี้แบบเต็มๆ นั่งชิลล์รับอากาศบริสุทธิ์ ชมพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าเมืองกรุงเทพฯ ข้อเสียคืออาจจะร้อนกว่าในโรงแรม หากเลือกนั่งด้านใน จะได้บรรยากาศร้านอาหารตามโรงแรมทั่วไป ไม่โดดเด่นมาก แต่อากาศเย็นกว่าด้านนอกและมีวงดนตรีเครื่องสายที่มีระดับทั้งบรรเลงและร้องเพลงให้ฟังยามค่ำ บาร์ Up & Above เปิดให้บริการถึงตี 1 ทุกวัน


เครื่องดื่มที่สั่งคือ เบียร์กิริน ราคา 140 บาท ไวน์ขาวรีสลิ่งเสิร์ฟเป็นแก้ว แก้วละ 400 บาท (สั่งไม่ดูราคาไง มันน่าเขกกะโหลก) ค็อกเทล 2 แก้ว คือ Spicy Fifty 250 บาท และ Passion Refresh  250 บาท (ไม่มีแอลกอฮอล์) ตอนสั่งเป็นช่วง Happy Hour ค่ะ ราคาถูกลงนิดนึง

ถั่ววาซาบิ ขึ้นจมูกออกถึงหูเลย 555 เลย์รสคุ้นลิ้นกับมะกอกดองค่ะ ขอเติมได้เรื่อยๆ


นี่แหละค่ะ โฉมหน้าลูกสาวแก้วละ 400 บาท ... T^T

 รูปนี้เริ่มมืดแล้วค่ะ ถ่ายเริ่มไม่ชัดละ



อาหารที่สั่งคือ  Egg Yolk Ravioli ที่พนักงานแนะนำว่าอร่อย แต่เรากลับรู้สึกเฉยๆ บวกกับราคา 380 บาท (ราคาโปรโมชั่น) แลกกับราวิโอลี 3 ชิ้น ถือว่ายังไม่คุ้ม และ Roasted Sausage ที่เราลงความเห็นกันว่าอร่อยมากค่ะ 380 บาทเช่นกัน รายการอาหารอื่นๆถือว่าแพงมาก สั่งไม่ลง T^T

นี่ก็มืดแล้วเหมือนกัน เริ่มเบลอๆละ


รูปล่างนี่เบลอหนักเลย 555


สำหรับวันนี้ รวมเซอร์วิสชาร์จและภาษีแล้ว เงินรั่วไปทั้งหมด 4,378.44 บาทค่ะ ถ้าผู้อ่านมีเวลาแวะเวียนมาลิ้มลองทั้ง High Tea และ Rooftop บาร์ แต่มีความเห็นต่างไป ก็เข้ามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันได้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ