วันนี้ DWM ได้มีโอกาสมาลองจิบชายามบ่ายกับสามีและเพื่อนสาวที่โรงแรมสังกัดแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง
The Okura Prestige (โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ) ที่ถนนวิทยุ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
ไม่ได้อยู่ลึกลับซับซ้อนหรือหายากอะไรเลย แต่ที่อาจจะทำให้งงกันคือล็อบบี้ของโรงแรมตั้งอยู่ชั้น
24 ของอาคาร ปาร์คเวนเชอร์อีโคเพล็กซ์ (Park
Ventures Ecoplex) เขาบอกว่าห้องของโรงแรมทั้ง 240 ห้องรวมทั้งห้องสวีทมองเห็นวิวกรุงเทพฯได้ทุกห้อง
ช่วงราคาค่าห้องพักของโรงแรมนี้อยู่ที่คืนละ 6,000 -107,000 บาท (เจี๊ยกกก) นั่นคือราคาของเดือนกรกฎาคม ปี 2558 นะคะ ห้องที่แพงที่สุดคือ Imperial Suites ซึ่งราคาแตะแสนนี้ยังไม่รวมภาษีและ Service Charge หลังรวมแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท ...สวัสดีค่ะ T^T
เอาเป็นว่าเรามาแฮงเอาต์กันอยู่แค่ล็อบบี้กันก่อนดีกว่าเนอะ
...ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ร้านจัด Afternoon Tea ที่เรามาลองชิมกันในวันนี้คือร้าน Up & Above Restaurant and Bar
โดยจะมีบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 14:00-17:00
น. ในราคา 960++ บาทต่อหนึ่งชุด สำหรับ Lavender Set จะมีบริการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.- 31 ส.ค. 2558 DWM จองไว้ที่เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงบ่ายแก่ๆเลย เรานั่งจิบชาคุยกันไปเพลินๆ
แล้วออกไปจิบไวน์ต่อที่โซฟากว้างๆที่ระเบียงรับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก
ล็อบบี้ของโรงแรมและที่นั่งบริเวณ
Up and Above ที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนสีเข้มทำให้ได้บรรยากาศหรูหราน่านั่ง
เทคโนโลยีทันสมัยในห้องน้ำ ความสะอาดและความงดงามก็คงต้องยกนิ้วให้เพราะสวยจริงๆค่ะ
ช่วงบ่ายวันนี้อากาศอบอ้าวเล็กน้อย
DWM รู้สึกโชคดีเล็กๆที่จองโต๊ะจิบชาไว้สำหรับ
4 ท่าน โต๊ะริมกระจกที่สามารถเห็นวิวด้านนอกเป็นโต๊ะสำหรับ
2 ท่าน แต่แสงแดดที่ส่องผ่านกระจกเข้ามานั้นร้อนเกินไป
ทางโรงแรมจึงต้องลดระดับม่านลงมา ไม่เห็นวิวด้านนอกอยู่ดี โต๊ะที่เราจองไว้ตั้งอยู่กลางโถง
...ไม่อยากเรียกว่าร้านเลยค่ะ
เพราะทางโรงแรมแค่จัดพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับจิบชายามบ่ายและนั่งจิบไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยามค่ำคืน ไม่ได้มีกำแพงหรือป้ายชื่อร้านอะไรจริงจัง
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเอ็นจอยกับ
Afternoon Tea ในวันนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทยค่ะ
ถ้าจะมารับประทานอาหารหรือใช้บริการที่นี่ อาจต้องลับคมภาษาอังกฤษกันสักหน่อย
เพราะเมนูเป็นภาษาอังกฤษและพนักงานโรงแรมคนแรกที่ DWM เจอก็พ่นภาษาอังกฤษใส่ทันทีที่เจอหน้ากัน
ภาษาแรกที่พนักงานใช้ทักทายหรือพูดคุยกับเราก็ไม่ใช่ภาษาไทยค่ะ
ไม่มีการทึกทักก่อนว่าลูกค้าเป็นคนไทย ภาษาอังกฤษพุ่งนำหน้ามาเลย
DWM สั่งชุดยามบ่ายมา 2 ชุด ใน 1 ชุดจะมีชามาให้ 2 กา ชุดแรกคือ
Okura Delight เป็นชุดมาตรฐานที่มีบริการตลอด เป็นขนมหวานอาหารคาวจุบจิบสไตล์ญี่ปุ่นที่จัดเสิร์ฟมาในกล่องไม้
ขนมและอาหารมีอะไรบ้างก็ตามรูปเลย ค่ะ
กิมมิกน่ารักสุดๆคือมาการองที่วาดรูปต้นไผ่ไว้บนเปลือก
รสชาติทุกอย่างก็อร่อยตามสไตล์ญี่ปุ่น แต่สำหรับ DWM ยังถือว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่
ชุดที่ 2 คือไฮไลต์ที่ล่อลวง เอ๊ย...เชื้อเชิญให้เรามาลิ้มลองนั่นคือ Lavender
Set ซึ่งขนมหวานต่างๆจะมีรสหรือกลิ่นดอกลาเวนเดอร์
อย่างที่บอกไปข้างต้น เซ็ตนี้จะมีบริการแค่ช่วง 1 ก.ค.- 31 ส.ค. 2558 เป็นช่วงฤดูลาเวนเดอร์ของญี่ปุ่นค่ะ
แน่นอนว่ามาการองของชุดนี้มีรูปดอกลาเวนเดอร์อยู่บนเปลือกที่งดงามมากๆ
เราสั่งมาอย่างละชุด เท่ากับมีชาทั้งหมด 4 กา
ชาที่เราเลือกสำหรับทั้ง 4 กาเป็นชาลาเวนเดอร์ทั้งหมด
แต่ก็มีชาอื่นๆให้เลือกด้วยนะคะ ...ที่น่าผิดหวังสำหรับ DWM คือเปลือกมาการองค่อนข้างแข็งกรอบจนแตกร่วน
ไม่มีความชุ่มหนึบอย่างที่ควรจะเป็น เรื่องหน้าตาสวยกินขาดค่ะ แต่รสชาติสำหรับ DWM ยังไม่ผ่านนะคะ
Clotted Cream กับแยมรสต่างๆ กระซิบนิดนึงว่า Bitter Orange นี่ขมสมชื่อจริงๆค่ะ แต้มแต่น้อยนะคะ
ด้านบริการ
ถือว่ายังไม่โดนใจ DWM แบบเต็มๆ แต่ก็สุภาพดี
แม้จะไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าที่ควร บริการแบบ “ถามมาตอบไป”...ก็ไม่มีอะไรให้ติ
แต่ก็ยังไม่มีอะไรให้ออกปากชม อาจเป็นเพราะ DWM คาดหวังสูงกับโรงแรมระดับห้าดาวแถมยังเป็นโรงแรมในเครือของญี่ปุ่นซึ่งงานบริการที่บอกเลยว่าต้องเป๊ะล่ะมั้งคะ
แต่ความสะอาดของบริเวณร้านนี่ต้องยกนิ้วค่ะ เพราะข้าวของเครื่องใช้ยังดูใหม่
สะอาดสะอ้านดี ไม่บอบช้ำมากเหมือนบางโรงแรมที่เก่าเหลือเกิน
หลังจิบชาเสร็จ
เราก็ไปนั่งชิลล์ต่อกันที่โซฟาด้านนอกของ Rooftop ลมร้อนยามบ่ายกลายเป็นลมโกรกเย็นสบายในยามค่ำคืน
หากต้องการนั่งโซฟาด้านนอก คงต้องโทรมาจองกันก่อนเพราะมีอยู่ไม่กี่ตัว
บริเวณระเบียงจะได้บรรยากาศปาร์ตี้แบบเต็มๆ นั่งชิลล์รับอากาศบริสุทธิ์
ชมพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าเมืองกรุงเทพฯ ข้อเสียคืออาจจะร้อนกว่าในโรงแรม
หากเลือกนั่งด้านใน จะได้บรรยากาศร้านอาหารตามโรงแรมทั่วไป ไม่โดดเด่นมาก
แต่อากาศเย็นกว่าด้านนอกและมีวงดนตรีเครื่องสายที่มีระดับทั้งบรรเลงและร้องเพลงให้ฟังยามค่ำ
บาร์ Up & Above เปิดให้บริการถึงตี 1 ทุกวัน
เครื่องดื่มที่สั่งคือ
เบียร์กิริน ราคา 140 บาท ไวน์ขาวรีสลิ่งเสิร์ฟเป็นแก้ว แก้วละ 400
บาท (สั่งไม่ดูราคาไง มันน่าเขกกะโหลก) ค็อกเทล 2 แก้ว คือ Spicy Fifty 250 บาท และ Passion Refresh 250
บาท (ไม่มีแอลกอฮอล์) ตอนสั่งเป็นช่วง Happy
Hour ค่ะ ราคาถูกลงนิดนึง
ถั่ววาซาบิ ขึ้นจมูกออกถึงหูเลย 555 เลย์รสคุ้นลิ้นกับมะกอกดองค่ะ ขอเติมได้เรื่อยๆ
นี่แหละค่ะ โฉมหน้าลูกสาวแก้วละ 400 บาท ... T^T
รูปนี้เริ่มมืดแล้วค่ะ ถ่ายเริ่มไม่ชัดละ
อาหารที่สั่งคือ Egg Yolk Ravioli ที่พนักงานแนะนำว่าอร่อย แต่เรากลับรู้สึกเฉยๆ บวกกับราคา 380 บาท (ราคาโปรโมชั่น) แลกกับราวิโอลี 3 ชิ้น ถือว่ายังไม่คุ้ม และ Roasted Sausage ที่เราลงความเห็นกันว่าอร่อยมากค่ะ 380 บาทเช่นกัน รายการอาหารอื่นๆถือว่าแพงมาก
สั่งไม่ลง T^T
นี่ก็มืดแล้วเหมือนกัน เริ่มเบลอๆละ
รูปล่างนี่เบลอหนักเลย 555
สำหรับวันนี้
รวมเซอร์วิสชาร์จและภาษีแล้ว เงินรั่วไปทั้งหมด 4,378.44 บาทค่ะ ถ้าผู้อ่านมีเวลาแวะเวียนมาลิ้มลองทั้ง High Tea และ Rooftop บาร์ แต่มีความเห็นต่างไป
ก็เข้ามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันได้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น